แบตเตอรี่ รถยนต์ ของเรานั้นใกล้เสื่อมสภาพแล้วหรือไม่ ควรจะเช็คอย่างไร 

หนึ่งในปัญหาของผู้ใช้รถที่ไม่อยากเจออย่างที่สุดนั่นก็คือสตาร์ทรถไม่ติด ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหนหรือจะไปทำอะไร ถ้าขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถไม่ได้ แผนการที่คุณวางไว้ว่าจะถูกยกเลิกอย่างทันที และจะตามมาด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดและโมโห จึงไม่อยากมีใครที่อยากประสบกับปัญหาแบบนี้ ถ้าผู้ชายเราทุกคนมันดูแลรักษารถยนต์และ แบตเตอรี่ รถยนต์ ของคุณเป็นอย่างดีปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น แต่ทุกคนก็สามารถรู้ได้ถึงสัญญาณเตือนจาก รถยนต์ ของคุณได้ก่อนเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพหรือใกล้หมดอายุการใช้งาน

อาการเริ่มแรกที่สามารถสังเกตได้นั่นก็คือในการ สตาร์ทรถ ทุกครั้ง หลังจากที่จอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน หรือในช่วงเช้าของวัน จะมีอาการสตาร์ทผิดปกติเหมือนเครื่องหมุนช้าลง ไม่มีแรงและมีเสียงดังอืด ๆ ขึ้นมา และใช้เวลาในการสตาร์ทที่นาน ทุกคนประสบปัญหานี้ แสดงว่า แบตเตอรี่ รถยนต์ ของคุณเสื่อมสภาพ จำเป็นต้องรีบไปเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่อยากจะพบกับปัญหาสตาร์ทรถไม่ติด เวลาที่คุณต้องการจะออกเดินไปไหน ข่าวรถยนต์

สัญญาณเตือนของ แบตเตอรี่ รถยนต์ ที่เตือนให้คุณรู้ว่าเสื่อมสภาพแล้ว

ถ้าผู้ใช้รถทุกคนไม่อยากพบกับปัญหา รถยนต์ ของคุณสตาร์ทไม่ติด ก็ควรหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนของแบตเตอรี่ รถยนต์ที่ได้แสดงให้พวกคุณรู้ว่าเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งวิธีสังเกตนั้นมีหลายวิธี นอกจากอาการที่ได้บอกให้ทราบไปแล้วนั่นก็คือเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์จากหมุนช้าลงกว่าปกติ และไม่มีแรงในการหมุน สัญญาณเตือนต่อมาก็คือระบบการทำงานไฟฟ้าในรถจะผิดปกติ เช่น กระจกไฟฟ้าของคุณเริ่มทำงานช้าลงให้ลองสังเกตกดเปิดและปิดกระจกไฟฟ้า เพื่อดูว่าสามารถทำงานได้ปกติหรือไม่ถ้า กระจกขึ้นลงได้ช้าก็แสดงว่าแบตเตอรี่ของคุณก็จะเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นกัน  ไฟหน้าไม่สว่าง ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากแบตเตอรี่ของคุณได้เสื่อมสภาพไปแล้ว ถ้าคุณใช้รถเป็นเวลากลางคืนเป็นประจำอยู่แล้วก็สามารถสังเกตได้ง่ายกว่าเดิมว่าไฟหน้าของคุณสว่างเท่าเดิมหรือไม่ วิธีสังเกตข้อสุดท้ายนั่นก็คือสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่สีแดงบนหน้าปัด จะติดโชว์ขึ้นมานั่นหมายความว่าระบบไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่ รถยนต์ของคุณมีปัญหา ควรนำรถเข้าตรวจเช็คโดยเร็วที่สุด

วิธีการที่จะแก้ปัญหาแบตเตอรี่ รถยนต์เสียเสื่อมสภาพ ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้รถทุกคนก็คือให้ตรวจสอบอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ซึ่งมีอายุใช้งานประมาณ 1-2 ปี หลังจากใช้งานไปประมาณ 1 ปีครึ่งหรือ 18 เดือนก็ควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณได้แล้ว เพื่อป้องกันปัญหาที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็คือไม่สามารถสตาร์ทรถได้

Related Posts

• 
  ความต่าง รถยนต์ทั่วไป กับ รถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร มีอะไรบ้างไปดูกัน
• 
  รถยนต์ในช่วงหน้าฝน จะต้องดูแลรถยนต์อย่างไรเพื่อความปลอดภัย
• 
  “รถเกียร์ธรรมดา” มีโอกาสหายน้อยกว่ารถเกียร์ออโต้ จริงหรือไม่ไปดูกัน
• 
  “กุญแจดอกเล็กในรีโมท” รถยนต์ใช้ทำอะไร มีไว้ทำไม มาไขข้อสงสัยกัน
• 
  ไฟหน้ารถยนต์ไม่สว่าง กับ 2 วิธีแก้ปัญหา แก้ง่าย ได้ผลจริงอย่างแน่นอน